Monday, November 18, 2019

Buddha's Brain

ขอบคุณเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง ทีเอาบทสรุปภาษาไทยหนังสือ Buddha's Brain มาให้อ่าน อ่านแล้วประทับใจ เลยต้องขอไปซื้อทั้งเล่มมาอ่าน 

Buddha's Brain: The Practical Neuroscience of Happiness, Love and Wisdom




สรุปแล้ว Buddha's Brain ก็คือ human brain ที่ค้นพบหนทางแห่งการดับทุกข์ และการใช้ชิวิตอยู่ด้วยใจที่สงบสุข เราสามารถที่จะเจริญรอยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ด้วยการฝึกสมองของเรา (เขียนตามที่เราเข้าใจหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้)

ผู้เขียน ผสมผสาน Neurology, Psychology และ Comtemplative Practice (การฝึกสมาธิ) เข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจการทำงานของสมอง วิธีการลดความเครียด ความทุกข์ ความกังวล รวมถึงการฝึกสมาธิที่จะส่งผลต่อสมองในส่วนต่างๅ ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะช้วยให้ผู้อ่านได้ค้นพบการใช้ชีวิตด้วยใจที่สงบสุข

เนื้อหาอาจจะไม่ได้โยงถึงพระพุทธเจ้าตลอดเวลา แต่มีการอ้างถึงในบางหัวข้อ รวมถึงการอ้างถึงหลักธรรมะบางประการอยู่บ้าง 

ด้วยความที่อ่านแล้วจำเรื่องการทำงานของสมองไม่ได้ เวลาเขาอ้างถึงหลังจากนั้น ก็จะแบบว่าอ่านไม่เข้าใจ หรือบางที พยายามคิดว่าที่เขาเขียนช่วงนี้ เทียบกับภาษาไทยตามแบบพุทธศาสนาแล้วคืออะไร 
บางทีคิดไม่ออก ตะกุกตะกัก ไปหาออนไลน์ เลยทำให้อ่านไม่ราบรื่น แต่ในส่วนที่ผู้เขียนแนะนำวิธีการต่างๆ เช่นการเปลี่ยนความคิด การแผ่เมตตา การคิดเชิงบวก การฝีกสมาธิ และอื่นๆ จะเข้าใจ และคิดว่าไม่ได้ต่างจากหลักของพุทธศาสนา สรุปแล้ว อ่านจบรอบแรก แบบตะกุกตะกักไปบ้าง ถ้าได้อ่านอีกรอบคงจะเข้าใจมากขึ้น 

ที่สำคัญกว่าการอ่านเฉยๆ ก็คือการฝึกสมองของเราเอง ซึ่งเราก็พยายามฝึกทุกวัน ไปเรือยๆ รู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองในทางที่ดีขึ้น

ขอแปะสรุปภาษาไทยที่ได้มาจากเพื่อนไว้ตรงนี้ด้วยเลย สรุปไว้ดีจัง ภาษาไทยก็สวยงาม

สรุปหนังสือ : สมองแห่งพุทธะ – Buddha’s Brain

1. สมองและจิตใจนั้น มีสัมพันธภาพที่ลึกซึ้งและยากจะอธิบายได้ หนังสือ “สมองแห่งพุทธะ” คือหนังสือธรรมะกึ่งวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยให้เราเข้าใจถึงกลไกการทำงานของสมองและจิตใจที่เชื่อมโยงกัน และนำไปสู่วิธีฝึกสมองและจิตใจให้ตื่นรู้ เพื่อนำไปสู่ความสุข ความรัก และปัญญา

2. สมองเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ และความรู้สึกนึกคิด จิตใจ มีผลอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงของสมอง จิตใจที่มีความสุขจะทำให้สมองมีชีวิตชีวามากขึ้น ดังนั้นเราสามารถที่จะพัฒนาสมองได้ ด้วยการพัฒนาจิตวิญญาณ ใจที่ตื่นรู้ จึงหมายถึงสมองที่ตื่นรู้

3. ความทุกข์ และความไม่พอใจต่อสิ่งต่างๆนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากสมอง โดยเริ่มต้นจากระบบประสาทแบบสัตว์ที่สั่งการให้เราเอาตัวรอด และนอกเหนือจากการเอาตัวรอด สมองของมนุษย์ยังพัฒนาขึ้นมาซับซ้อนกว่าสัตว์ จนกลายเป็นสมองที่เพาะปลูกและเก็บเกี่ยวความทุกข์เอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความกังวลถึงอนาคต ความเสียใจต่ออดีต หรือความขุ่นเคืองเมื่อผิดหวัง

4. เพื่อก้าวพ้นจากความทุกข์ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนถึงเรื่องของ ความดีงาม การพัฒนาจิต และปัญญา ซึ่ง 3 สิ่งนี้เป็นเสาหลักในการฝึกตนเพื่อการมีชีวิตที่อยู่เย็นเป็นสุขในวิถีพุทธ

5. ความดีงาม การพัฒนาจิต และปัญญา ได้รับการสนับสนุนจากหน้าที่พื้นฐาน 3 ประการของสมอง คือ การควบคุมตนเอง การเรียนรู้ และการตัดสินใจเลือก ความดีงามนั้นต้องอาศัยการควบคุมอย่างมากจากสมอง การพัฒนาจิต ต้องอาศัยการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง และปัญญาต้องอาศัยการตัดสินใจเลือก ดังนั้น การฝึกสมองให้ทำหน้าที่ได้อย่างดีจึงเป็นการช่วยให้การพัฒนาจิตวิญญาณเป็นไปด้วยดี

6. นักปราชญ์และผู้ฝึกจิตถึงขั้นลึกในแทบทุกศาสนาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ธรรมชาติเดิมแท้ในมนุษย์เรานั้น บริสุทธิ์ สงบ ตื่นรู้ เปี่ยมไปด้วยความรักและปัญญา แต่ถูกบดบังด้วยความเครียด ความกังวล และความโกรธ จนเราลืมธรรมชาติเดิมแท้ของเรา การฝึกพัฒนาจิตใจ จึงเป็นไปเพื่อการขจัดสิ่งที่มาบดบังธรรมชาติเดิมแท้ ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝน

7. การนำสิ่งที่บริสุทธิ์อยู่แล้วภายในออกมาภายนอก และพัฒนาให้เป็นคุณสมบัติที่ดีงามในตัวคนนั้น ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงของสมอง ถ้าเรามีความรู้ว่า สมองมีกลไกการทำงานอย่างไร เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ หรือสงบลงได้อย่างไร ย่อมทำให้เรามารถฝึกจิตได้ดียิ่งขึ้น

8. ร่างกาย สมอง และจิตใจ มีระบบต่างๆมากมายที่ทำงานรองรับ และระบบเหล่านี้ถูกคุกคามจากความเจ็บปวด ความลำบาก หรือสิ่งต่างๆ ที่เรียกว่าความทุกข์ จนเกิดการเปลี่ยนแปลง หรือขาดสมดุล ดังนั้นสมองและร่างกายจึงต้องพยายามอย่างมากที่จะรักษาสมดุลให้ชีวิต และสร้างกลยุทธ์ในการเอาตัวรอดเพื่อสืบเผ่าพันธุ์

9. กลยุทธ์ 3 ประการของระบบประสาท ที่วิวัฒนาการมาเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์ถึงคนรุ่นหลัง ได้แก่ การสร้างความแยกตัว การรักษาระบบต่างๆให้มั่นคง การเข้าหาโอกาสและการหลีกเลี่ยงภัยคุกคาม แม้ว่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้เรามีชีวิตรอด แต่ก็ได้สร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นด้วย เพราะสมองจะสร้างการเตือนภัยเมื่อรู้สึกถูกคุกคาม ไม่สมดุล หรือเจอการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดการมองโลกในแง่ร้ายและสร้างภาพเสมือนหรือจำลองเหตุการณ์ร้ายๆอยู่เสมอ

10. การฝึกจิต เป็นเหมือนการว่ายทวนการทำงานของระบบประสาท หรือสมอง ในการที่จะเข้าไปแก้ไขเหตุแห่งทุกข์ ปรับตัวไปตามการเปลี่ยนแปลง และเรียนรู้ที่จะวางเฉย ไม่ยินดีในสิ่งที่น่าพึงพอใจหรือไม่น่าพึงพอใจ  แม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็เป็นเรื่องที่เราควรฝึก และปฏิบัติโดยมีความเมตตาต่อตนเองเป็นพื้นฐาน เพราะการเมตตาต่อตนเองนั้น ทำให้เรามองเห็นความทุกข์ของตนเอง และสามารถเชื่อมโยงไปสู่การมองเห็นความทุกข์ของผู้อื่น

11. ความทุกข์เป็นปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดจากระบบประสาทซิมพาเตเติก (SNS) หรือที่เรียกว่าระบบประสาท “สู้หรือหนี” ที่ตื่นตัวและป้องกันอันตราย เมื่อระบบประสาทนี้ตื่นตัว ทำให้ความกลัว ความระแวงกังวล หรือที่เรียกว่าความทุกข์ทับถมขึ้นเรื่อยๆ และกระจายไปทั่วร่างกาย ซึ่งความทุกข์ที่สะสม ทับถมอยู่ในระบบประสาทนี้จะก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพร่างกาย

12. ในขณะที่ระบบประสาทพาราซิมพาเตติก (PNS) หรือ ที่เรียกกันว่า “ระบบพักและย่อยอาหาร”  จะทำหน้าที่สร้างความมั่นคง ผ่อนคลาย และสร้างความรู้สึกพึงพอใจให้ร่างกาย โดยระบบ SNS และ PNS นั้น จะทำงานในลักษณะเหมือนไม้กระดก นั่นคือ เมื่ออีกฝั่งสูง อีกฝั่งจะต่ำในทันที

13. การสร้างชีวิตที่สมดุล ไม่ได้หมายถึงการปิดการทำงานของระบบประสาทใดระบบหนึ่ง แต่ต้องมีการกระตุ้นให้ระบบประสาทนั้น ทำงานอย่างสมดุล และวิธีการที่ดีที่สุดคือ หมั่นฝึกจิต พัฒนาจิตใจ นั่งสมาธิ หรือสูดลมหายใจลึกยาว เพื่อฝึกการผ่อนคลาย เป็นการกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเตติก  (PNS) และกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทซิมพาเตเติก (SNS)  หรือที่เรียกว่าระบบประสาท“สู้หรือหนี” เล็กน้อย โดยการทำงานที่ท้าทายอย่างกระตือรือร้น มีชีวิตชีวา

14. ร่างกายถูกสร้างด้วยอาหาร แต่ใจนั้นถูกสร้างด้วยประสบการณ์ที่ได้รับ สมองจะสร้างความทรงจำแฝงเร้น นั่นคือ ตะกอนของประสบการณ์ที่สะสมอยู่ในระดับจิตใต้สำนึก ซึ่งมักมีความโน้มเอียงไปในทางจดจำ บันทึก ความรู้สึกในแง่ลบ แม้ว่าความทรงจำในแง่ลบจะมีประโยชน์อยู่บ้าง ในแง่การกระตุ้นให้เกิดความก้าวหน้า แต่การให้ความทรงจำแง่ลบเติบโตมากเกินไป ก็เท่ากับการสร้างโครงสร้างสมองที่มีแต่ความทุกข์

15. ทางแก้ที่ดีในการจัดการกับประสบการณ์แง่ลบ คือการนำประสบการณ์แง่บวกมาเพิ่มเติมในชีวิต โดยการมีสติในการรับรู้ประสบการณ์ดีดี และเปิดใจรับซึมซับประสบการณ์ดีดี เช่น การชื่นชมตนเอง การค้นพบความงามในชีวิตประจำวัน เหล่านี้ช่วยให้สมองสร้างความทรงจำแฝงเร้นที่เป็นแง่บวก แต่อย่าลืมว่า แม้ว่าคุณจะเจอเรื่องดีๆมากมาย หากไม่มีสติเพียงพอจะรับรู้และเปิดใจซึมซับ ก็ไม่อาจสร้างความทรงจำแฝงเร้นเชิงบวกได้

16. ในขั้นนี้การฝึกสติและพัฒนาจิตจะช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจ่อต่อประสบการณ์เชิงบวก ช่วยเพิ่มอารมณ์ทางบวกให้หลั่งไหลเข้ามาในใจ เปรียบเสมือนการกำจัดวัชพืชและปลูกดอกไม้ลงในใจ โดยการกำจัดวัชพืชหรือประสบการณ์แง่ลบนั้น ไม่ใช่การทำเป็นไม่เห็นหรือไม่รับรู้ประสบการณ์ด้านลบ แต่เป็นการย้อนกลับไปค้นจนเจอปลายรากของปัญหา และใช้สติในการรับรู้สภาวะอารมณ์นั้นๆอย่างเข้าใจ

17. ทุกครั้งที่เราซึมซับรับรู้ประสบการณ์ดีดี สมองจะสร้างโครงสร้างใหม่ๆ ที่ช่วยปรับมุมมองและวิธีคิดของเราให้สามารถเห็นแง่มุมดีดีได้ง่าย ส่งผลดีต่อสภาวะของจิตใจและสุขภาพร่างกาย

18. ระบบประสาทพาราซิมพาเตติก (PNS) หรือระบบพักและย่อยอาหารนั้น เปรียบเสมือนถังดับเพลิงของร่างกายและจิตใจ ดังนั้นจึงต้องหมั่นกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนนี้ และการกระตุ้นที่ดีมากได้แก่ การผ่อนคลาย การมีสติรู้ตัวอยู่กับร่างกาย และการเจริญภาวนา

19. การเจริญภาวนามีหลายวิธี ทุกคนสามารถเลือกวิธีที่ตนเองถนัดหรือสนใจ โดยมีหัวใจหลักอยู่ที่การปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ข้อดีของการภาวนาคือ เป็นการผ่อนคลาย พร้อมๆกับดึงสมองออกจากเรื่องที่ตึงเครียด และนำสติตระหนักรู้กลับมาอยู่กับร่างกาย ในแง่ของโครงสร้างสมอง การภาวนาช่วยเพิ่มเนื้อเยื่อสมองบางส่วน ทำให้สมองส่วนอารมณ์ดีทำงานดีขึ้น ลดปริมาณฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด และช่วยรักษาอาการทางจิตหลากหลายประเภท เช่น อาการนอนไม่หลับ โรคกลัว โรคกินผิดปกติ เป็นต้น

20. เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเรียนรู้รากของความทุกข์ เพื่อดับทุกข์ในใจ และในขณะเดียวกันก็ต้องจุดประกายแห่งความสุข หรือสร้างพื้นที่แห่งความสุขในชีวิต ด้วยการมีเจตนาที่มั่นคงในการใช้ชีวิตอย่างมีสติปัญญา

21. การเจริญสติ หรือการพัฒนาจิต จะช่วยสร้างสมองให้มีความคุ้นเคยต่อสภาวะที่เป็นปกติของจิตใจ ทำให้มีสติรู้ตัวสม่ำเสมอ และเมื่อเจอสิ่งมากระทบก็คุ้นเคยที่จะจัดการสิ่งต่างๆได้อย่างสงบ

22. วงจรที่มีมาแต่ดั้งเดิมของสมอง ทำให้เรามักจะมีปฏิกิริยาตอบโต้กับสถานการณ์ต่างๆ อย่างรวดเร็ว หากแต่สภาวะจิตใจที่สมดุล หรือ “อุเบกขา” จะคอยตัดวงจรการตอบโต้ของสมอง  ทั้งนี้ “อุเบกขา” ไม่ได้หมายถึงการไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ หรือไม่ข้องเกี่ยวแบบเพิกเฉย แต่หมายถึง การมีสติรับรู้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แต่ไม่หวั่นไหว ตื่นตูม หงุดหงิด หรือตอบโต้กับสิ่งที่เกิดขึ้น สมองยังคงได้รับการกระตุ้นจากสถานการณ์ต่างๆ เพียงแต่การฝึกอุเบกขา จะตัดวงจรในส่วนของปฏิกิริยาตอบโต้เมื่อถูกกระตุ้น ทำให้เราสามารถจำแนกแยกแยะ และจัดการกับสถานการณ์ต่างๆด้วยความมีปัญญามากยิ่งขึ้น

23. เราทุกคนมีทั้งความรัก และความเกลียดชังในจิตใจ สมองสองส่วนนี้วิวัฒนาการมาพร้อมๆกันในตัวมนุษย์ นั่นเพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่ต้องการความรัก ความร่วมมือ มีสัมพันธภาพที่ซับซ้อนเพื่อสร้างชุมชนของตน และในขณะเดียวกัน ก็วิวัฒนาการความเกลียดชัง จากการต่อสู้เพื่อแย่งชิง อาหาร เครื่องมือ ความเกลียดชัง เกิดจากสมองที่แยกพรรค แบ่งพวก ขีดเส้นความเป็นพวกเขา พวกเรา นั่นเอง

24. การไม่ยอมรับว่าเรามี ความเกลียดชังอยู่ในใจ รังแต่จะทำให้ความเกลียดชังนั้นซุกซ่อนและขยายตัวโตขึ้นในใจ ทางที่ดีที่สุด เราควรยอมรับว่าความเกลียดชังนั้น มีอยู่ เพื่อที่เราจะได้คอยเฝ้าระวัง มีสติในการรู้เท่าทันตนเอง ไม่ปล่อยให้ความเกลียดชังครอบงำ และหมั่นฝึกจิต ในการบำรุงความรักความเมตตาให้เกิดขึ้นกับจิตใจ

25. การมีความรู้สึกร่วม เข้าอกเข้าใจผู้อื่น เป็นพื้นฐานของความเมตตากรุณาที่แท้จริง ความเมตตากรุณานั้นจะช่วยขยายของเขตของคำว่า “เรา” และเริ่มต้นได้ด้วยการมีความรู้สึกร่วม การรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายและปรารถนาให้เขาเหล่านั้นมีความสุข พ้นจากความทุกข์ ทั้งนี้ ควรฝึกที่จะมอบความรัก เมตตากรุณาให้กับคน 5 กลุ่ม ได้แก่ ผู้มีพระคุณ  เพื่อนฝูง คนที่เราเฉยๆ ศัตรู และตัวเอง

26. ยืนยันความตั้งใจของคุณอย่างเชี่ยวชาญ การมีเมตตากรุณานั้น ยังคงสามารถตั้งอยู่บนขอบเขตที่คุณสามารถแสดงความต้องการ หรือยืนยันความตั้งใจของตนได้ โดยอาศัยความดีงามภายในใจ สื่อสารสิ่งที่ต้องการอย่างตรงไปตรงมา พูดเฉพาะข้อเท็จจริง โดยใช้สติกำกับไม่ใส่อารมณ์หรือปกป้องตนเอง เป็นการสื่อสารที่ใช้สติกำกับและรักษาความสมดุลของความสัมพันธ์

27. ความรักและเมตตาอย่างที่ไม่มีประมาณ ความเมตตา คือความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข มันเป็นเรื่องง่ายที่เราจะอยากให้ผู้ที่ทำดีกับเรามีความสุข แต่สิ่งที่ควรฝึกคือ การมีความรักและเมตตาแม้ต่อผู้ที่ปฏิบัติแย่ๆกับเรา  นั่นคือ การรักษาความประสงค์ดีต่อผู้อื่นไว้แม้ว่าจะถูกประสงค์ร้ายก็ตาม การฝึกเช่นนี้ต้องอาศัยความรักที่ไพศาล หัวใจที่ขยายขอบเขตคำว่า “เรา” ออกไปอย่างกว้างขวางและมีสติกำกับเพื่อที่จะไม่แบ่งแยก “พวกเขา” ออกจาก “พวกเรา”

28. การมีสติ หมายถึง การมีความสามารถในการควบคุมจิตใจให้จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่อจดจ่อ จะมีความแน่วแน่ และนิ่ง เหมือนมีไฟสปอตไลต์ ส่องลงไปปรับแต่งสมองและจิตใจของเรา สตินั้นจะนำไปสู่ปัญญา  และวิธีที่ดีที่สุดในการฝึกสติ คือการเจริญภาวนา อย่างไรก็ตาม เราสามารถฝึกสติในชีวิตประจำวันได้ เช่น การพูดให้น้อยลง ทานให้ช้าลง ตามดูลมหายใจ หรือฝึกจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

29. มูลเหตุสำคัญของความทุกข์นั้นคือ ตัวตน เมื่อใดก็ตามที่เราจัดว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้เป็น “ของฉัน” เป็น “ตัวฉัน” เมื่อนั้นความทุกข์ก็เริ่มมาเยือน เพราะเริ่มมีการยึดเอาสิ่งนั้นๆมาเป็นหลัก ในขณะที่ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปไม่มั่นคงแน่นอน ในแง่มุมของสมองนั้น ตัวตนเป็นข้อมูลต่างๆ เช่น ภาพ ความคิด ความรู้สึก ที่มีอยู่ในสมอง และปรากฏบนโครงสร้างการทำงานของระบบประสาทแต่ไม่สามารถจับต้องได้ และไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอน เปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ คล้ายเป็นเรื่องจินตนาการ 

30. การเป็นอิสระจาก “ตัวตน” คือ การเริ่มต้นทำความเข้าใจว่า ตัวตนเป็นเพียงสิ่งสมมติ หรือกลุ่มก้อนของประสบการณ์ เป็นภาพที่ไม่มีอยู่จริง ตัวตนเติบโตด้วยการเทียบเคียงกับสิ่งต่างๆ เราสามารถเป็นอิสระได้ด้วยการมุ่ งเปิดใจให้กว้าง เรียนรู้ที่จะรักและปรารถนาดีต่อตนเองและโลก เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่สงบสุข

Cr : SAROOPBOOK

Credit:
เพื่อนนล ที่แปะให้เราอ่าน
https://www.rickhanson.net/


No comments:

Post a Comment