Sunday, December 12, 2021

โฉมหน้าศักดินาไทย

โฉมหน้าศักดินาไทย ผลงานของ จิตร ภูมิศักดิ์

ได้ยินชื่อคุณจิตรมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย (2531) แต่ไม่เคยอ่านงานเขียนคุณจิตเลย พอดีปี 2563 มีข่าวเรื่องตณะอักษรศาสตร์ จะไม่ลงแข่งวอลเล่ย์บอลกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ ถ้าคณะวิศวะไม่ทำการขอโทษคุณจิตร อย่างเป็นทางการกรณีโยนบก เลยได้ไปค้นหาประวัติคุณจิตร และเหตุการณ์โยนบก แล้วเลยได้ชื่อหนังสือที่คุณจิตรเขียนมาหลายเล่ม แต่ที่เลือกอ่านเล่มนี้ เพราะเคยเป็นหนังสือต้องห้ามมาก่อน และต่อมาได้กลายเป็น 1 ใน หนังสือ 100 เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน

11 ธันวาคม 2564
อ่านจบแล้ว สรุปสั้นๆ ก็คือ สมัยโบราณ ประเทศไทยปกครองด้วยระบบศักดินา ชนชั้นศักดินาออกกฎหมายเพื่อครอบครองผลประโยชน์ของปัจจัยแห่งการผลิต ซึ่งหมายถึงที่ดิน ทาสและไพร่ และออกกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์หรือขูดรีดจากปัจจัยแห่งการผลิตนั้น ทาสและไพร่ ไม่สามารถขัดขืนได้เลย เพราะการขัดขืนอาจหมายถึงความตายทั้งต่อตัวเองและครอบครัวได้

คำถามก็คือ คุณจิตรเขียนเรื่องนี้ราวปี 2500 ในช่วงที่ประเทศไทยยังมีกลิ่นอายของศักดินาอยู่มาก แต่ทำไม ปี 2564 กลิ่นนี้ยังคงตามมาหลอกหลอนสังคมไทยไม่จบไม่สิ้น

--- สื่งที่เราเรียกกันว่า “ศักดินา” ---

--"วิธีการอีกอย่างหนึ่งอันเป็นวิธีการขั้นสุดยอดของการรวบอำานาจก็คือริบโอนเอาที่ดินทั้งมวลมาเป็นของกษัตริย์ ยกเลิกพวกเจ้าขุนมูลนายชุดเก่า แล้วจัดตั้งพวกเจ้าขุนมูลนายชุดใหม่ขึ้น พวกที่ตั้งขึ้นชุดใหม่นี้โดยมากก็เลือกจากวงศ์วานว่านเครือเนื้อหน่อพงศ์เผ่าเหล่ากอศักดินาของพวกตนเอง หรือไม่ก็เลือกขึ้นจากข้าราชบริพารที่ทำางานดีสัตย์ซื่อต่อราชวงศ์ของตนเองแล้วส่งออกไปเป็นข้าหลวงดูแลหัวเมืองเอกโทตรีจัตวาต่างพระเนตรพระกรรณ พวกขุนนางชุดใหม่เหล่านี้ขึ้นตรงต่อกษัตริย์ทั้งสิ้น พวกนี้ในเมืองไทยเรียกกันว่า “เจ้าเมือง” หรือ “ผู้ว่าราชการเมือง” เมื่อกษัตริย์โปรดปรานเพราะรับใช้ได้คล่องและซื่อสัตย์กษัตริย์ก็จะมอบอำานาจให้เป็ นบำาเหน็จ อำานาจที่ได้รับก็คืออำานาจเหนือที่นา อาจจะให้เป็นจำนวนเท่าใดก็ได้ แต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำาหนดไว้ในกฏหมาย นั่นคือสิ่งที่เราเรียกกันว่า “ศักดินา” โดยวิธีนี้ พวกเจ้าขุนมูลนายที่กินเมืองโดยการสืบสกุลจึงสลายตัวไป แต่ถึงอย่างไรก็ดี ผู้ที่ได้กินเมืองโดยการแต่งตั้งของกษัตริย์ก็ยังคงเป็นพวกวงศ์วานของเจ้าขุนมูลนายอยู่ดี เพราะมีเพียงพวกนี้เท่านั้นที่ได้รับการศึกษาอบรมและได้มีโอกาสได้เฝ้าแหนถวายตัว"

--ความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมเป็นความสัมพันธ์ที่เหลื่อมล้ำต่ำสูงตามชนชั้นโดยกำาเนิด และตามอำานาจที่มีเหนือที่ดินระบบศักดินาเป็นระบบที่พัฒนาการสืบสันตติวงศ์ของระบบทาสให้ก้าวขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง การสืบสันตติวงศ์หรือสืบสกุลของพวกนายทาสได้กลายมาเป็นการสืบสันตติวงศ์และสืบสกุลของพวกชนชั้นเจ้าที่ดิน การนับถือยกย่องมนุษย์โดยชาติกำาเนิดได้พัฒนาขึ้นจนสูงสุดยอดในยุคนี้ พวกชนชั้นเจ้าที่ดินถูกยกย่อง หรือบังคับให้ประชาชนยกย่องขึ้นเป็ น “เทวดา” เป็น “เจ้าฟ้า” เป็น “พระเจ้า” เป็น“พระพุทธเจ้า” เป็น “โอรสสวรรค์” ฯลฯ

--เป็นต้นว่า “กษัตริย์องค์เดิมไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ขอให้พวกเราจงช่วยกันสนับสนุนผู้มีบุญและมีทศพิธราชธรรมคนใหม่” หรืออะไรทำนองนี้ซึ่งก็ได้ผล เพราะทำาให้ชาวนาหันมาเข้าด้วยโดยหวังในชวี ิตใหม่ที่ดีกว่า นั่นก็คือชาวนายังยึดมั่นอยู่ในความสุขที่มาจากการประทานให้ของตัวบุคคล มิได้มองเห็นกำาลังของชนชั้นตน

--ขนบธรรมเนียมและประเพณีอันเกิดจากที่ดินนั้นถ้าจะได้รับการยกย่องเน้นให้เห็นเด่นชัดก็จะต้องเป็ นขนบประเพณีที่เป็ นประโยชน์ต่อศักดินาเท่านั้น เช่น เอ็งอาศัยแผ่นดินของข้าทำามาหากิน เอ็งต้องเป็นหนี้บุญคุณข้า ยิ่งพวกที่เป็ นทาสทำางานให้นายและกินข้าวของนายด้วยแล้ว พวกนี้ก็ต้องเป็นหนี้บุญคุณของข้าวแดงแกงร้อน

--จุดมุ่งหมายอีกประการหนึ่งในด้านการศึกษาของศักดินาก็คือกดคนลงไว้ให้โง่ ไม่ส่งเสริมให้ฉลาดทั้งนี้เพราะการกดขี่ขูดรีดคนฉลาดเป็ นสิ่งที่กระทำาได้ยาก การศึกษาในสมัยศักดินาจึงล้าหลัง แต่ในขณะเดียวกันศักดินาก็ต้องการคนฉลาดใช้คล่องไว้ปฏิบัติ “ราชการ” (คือธุรกิจของพระเจ้าแผ่นดิน) ศักดินาจะสร้างคนของเขาขึ้นมาไว้ใช้ โดยให้เข้ามาศึกษาในสำานักของผู้ดี สำานักของเจ้าขุนมูลนายและในราชสำานัก เด็กหญิงก็จะต้องรำ่าเรียนเพื่อเป็ น “ผ้าพับไว้” ไว้รอรับความหื่นกระหายของผัว พูดง่ายๆ ก็คือเรียนวิชาปรนนิบัติผัว เด็กชายก็รำ่าเรียนเพื่อให้เป็น “ขุนศึก” เป็น “อัศวิน” เป็น “ทหารเสือ”

--ฐานะของกษัตริย์ที่มีต่อที่ดินของแคว้นสุพรรณภูมินี้ไม่ปรากฏว่าเป็นไปในรูปใด แต่ภายหลังจากที่ได้อพยพย้ายครัวกันลงมาอยู่ ณ กรุงศรีอยุธยาแล้ว ฐานะของกษัตริย์ที่มีเหนือที่ดินก็ปรากฏให้เราศึกษาได้ชัด กล่าวคือ “เป็นเจ้าของผืนแผ่นดินทั้งมวลในอาณาจักร” ทั้งนี้เห็นได้จากคำปรารภของกฏหมายเบ็ดเสร็จส่วนที่ ๒ อันเป็ นกฏหมายที่ดิน ซึ่งพระเจ้าอู่ทองได้ตราขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๓ หลังจากการสร้างกรุงศรีอยุธยาแล้ว ๑๐ ปี ตอนหนึ่งของคำาปรารภนั้นมีว่า:-“จึ่งพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสีหนาท ดำารัสตรัสแก่เจ้าขุนหลวงสพฤๅแลมุขมนตรีทั้งหลายว่า ทใี่นแว่นแคว้นกรุงเทพพระมหานครศรีอยุธยามหาดิลกนพรัตนราชธานีบุรีรมย์ เป็นที่แห่งพระเจ้าอยู่หัว หากให้ราษฎรทั้งหลายผู้เป็นข้าแผ่นดินอยู่ จะได้เป็นที่ราษฎรหามิได้”

--ความเคลื่อนไหวสุดท้ายเจ้าที่ดินใหญ่แห่งอยุธยากระทำเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบศักดินาก็คือ การออกกฏหมายศักดินาที่เรียกว่า “พระอัยการตำแหน่งนาทหารและพลเรือน” เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๙๘ กฏหมายฉบับนี้แหละที่ได้เป็ นเครื่องมือสำาคัญในการรักษาสถาบันของชนชั้นศักดินาไทยให้ยืนยาวอยู่ได้จนกระทั่งถูกโค่นอำานาจทางการเมืองไปโดยการปฏิวัติของชนชั้นกลาง พ.ศ. ๒๔๗๕

--เมื่อเช่นนี้แล้ว กษัตริย์จึงได้ทรงพระกรุณาประทานที่ดินให้แก่พวกวงศ์วานว่านเครือของตนและข้าราชบริพารไปทำามาหากินอีกทอดหนึ่งส่วนแบ่งของที่ดินและอัตราจำากัดขนาดของที่ดินตามที่ปรากฏในพระอัยการนั้นมีดังนี้คือ

(๑) อัตราของพระบรมวงศานุวงศ์หรือวงศ์วานว่านเครือกษัตริย์รวมทั้งข้าราชการฝ่ายใน :

• สมเด็จพระอนุชาธิราชหรือสมเด็จพระเจ้าลูกเธอที่ได้เฉลิมพระราชมณเฑียรดำารงตำาแหน่งมหาอุปราชศักดินา ๑๐๐,๐๐๐ ไร่
• สมเด็จพระอนุชา (เจ้าฟ้ า) ที่ทรงกรมแล้ว
ศักดินา ๕๐,๐๐๐ ไร่
• สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ (เจ้าฟ้ า) ที่ทรงกรมแล้ว
ศักดินา ๔๐,๐๐๐ ไร่
• สมเด็จพระอนุชา (เจ้าฟ้ า) ที่ยังมิได้ทรงกรม
ศักดินา ๒๐,๐๐๐ ไร่
• สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ (เจ้าฟ้ า) ที่ยังมิได้ทรงกรม
ศักดินา ๑๕,๐๐๐ ไร่
• พระอนุชา (พระองค์เจ้า) ที่ทรงกรมแล้ว
ศักดินา ๑๕,๐๐๐ ไร่
• พระเจ้าลูกเธอ (พระองค์เจ้า) ที่ทรงกรมแล้ว
ศักดินา ๑๕,๐๐๐ ไร่
• สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ ที่ทรงกรมแล้ว
ศักดินา ๑๕,๐๐๐ ไร่
• สมเด็จหลานเธอ ที่ทรงกรมแล้ว
ศักดินา ๑๑,๐๐๐ ไร่
• พระอนุชา (พระองค์เจ้า) ที่ยังมิได้ทรงกรม
ศักดินา ๗,๐๐๐ ไร่
• พระเจ้าลูกเธอ (พระองค์เจ้า) ที่ยังมิได้ทรงกรม
ศักดินา ๖,๐๐๐ ไร่
• พระเจ้าหลานเธอ ที่ยังมิได้ทรงกรม
ศักดินา ๔,๐๐๐ ไร่
• หม่อมเจ้า
ศักดินา ๒,๕๐๐ ไร่
• หม่อมราชวงศ์
ศักดินา ๕๐๐ ไร่
• สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ ที่ยังมิได้ทรงกรม
ศักดินา ๔,๐๐๐ ไร่
• หม่อมเจ้า
ศักดินา ๒,๕๐๐ ไร่
• หม่อมราชวงศ์
ศักดินา ๕๐๐ ไร่

--การขูดรีดของชนชั้นศักดินา หรือการแสวงหาผลประโยชน์จากปัจจัยแห่งการผลิตการขูดรีดของชนชั้นศักดินาที่ต่อไพร่ทั้งมวลนั้น มีอยู่ด้วยกันหลายแบบหลายวิธีเป็นต้นว่า ภาษีอากรจากที่ดิน, ค่าเช่า, ดอกเบี้ย, และการผูกขาดภาษี

--แม้ในพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านา พ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๓ ก็ยังได้กำาหนดอัตราค่าเช่าไว้ดังนี้ :
(๑) นาที่ได้ข้าวเปลือกปี หนึ่งไร่ละ ๔๐ ถังขึ้นไป เก็บไม่เกินไร่ละ ๑๐ ถัง
(๒) นาที่ได้ข้าวเปลือกปี หนึ่งไร่ละ ๓๐ ถังขึ้นไป เก็บไม่เกินไร่ละ ๖ ถัง(๓) นาที่ได้ข้าวเปลือกปี หนึ่งไร่ละ ๒๐ ถังขึ้นไป เก็บไม่เกินไร่ละ ๓ ถัง
(๔) นาที่ได้ข้าวเปลือกปี หนึ่งไร่ละไม่ถึง ๒๐ ถัง เก็บไม่เกินไร่ละ ๑ ถัง

--ภาษีอากร
ผลประโยชน์ของชนชั้นศักดินาโดยเฉพาะพวกชนชั้นปกครองศักดินาในด้านภาษีอากรนี้ มีอยู่ด้วยกัน ๔ ประเภท กล่าวคือ :
๑) ส่วย
เงินหรือสิ่งของที่รัฐบาลศักดินาบังคับเก็บกินเปล่าเอาจากประชาชนและคนในบังคับของตน
๒) ฤชา
เงินค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เรียกเก็บเอาจากราษฎรในการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐ เช่น ค่าธรรมเนียมในโรงศาล
๓) จังกอบ
คือการเก็บชักส่วนสินค้า เมื่อจะขนส่งเข้าออกหรือเมื่อทำาการขาย พูดง่ายๆ ก็คือภาษีสินค้า ผิดกับอากรตรงที่อากรเป็นภาษีเก็บจากผลิตผลที่ทำได้ จังกอบเก็บทั้งทางบกและทางน้ำ
๔) อากร
หมายถึงการเก็บชักส่วนผลประโยชน์ที่ราษฎรทำมาหาได้จากการทำางานด้านต่างๆ เช่น ทำนา, ทำไร่, ทำสวนนี่อย่างหนึ่ง หรืออีกอย่างหนึ่งมอบสิทธ์สิ ัมปทานให้แก่ประชาชนไปทำาการบางอย่างโดยเรียกเงินเป็นค่าอากรผูกขาด เช่น การเก็บของป่า, จับปลาในน้ำา (อากรค่าน้ำา), ต้มกลั่นสุรา, ตั้งบ่อนเบี้ย (การพนัน), ตั้งโรงโสเภณี ฯลฯ

--เงินแทนแรงหรือที่ยักกระสายเรียกกันว่า ค่าราชการหรือรัชชูปการนี้ ในรัชกาลหลังๆ ของกรุงรัตนโกสินทร์จำานวนลดลงเพราะลดราคาลงเหลือเพียง ๖ บาท แต่ก็ยังนับว่าเป็นรายได้รองลงมาจากอากรค่านา ใน พ.ศ. ๒๔๖๔ รัฐบาลศักดินาเก็บอากรค่านาได้กว่า ๗ ล้านบาท ขณะเดียวกันเงินรัชชูปการก็เก็บได้ถึง ๗,๗๔๙,๒๓๓ บาท ถ้าเราจะเทียบกับรายได้ทั้งสิ้นของรัฐบาลศักดินาใน พ.ศ. ๒๔๖๔ ซึ่งมีจำนวน ๘๕,๕๙๕,๘๔๒ บาท จะเห็นได้ว่าเงินรัชชูปการเป็ นรายได้ที่มากเกือบ ๙% ของรายได้ทั้งหมดของคณะกรรมการจัดการดูแลผลประโยชน์ของชนชั้นศักดินา ยิ่งในสมัยรัชกาลที่ ๔ ด้วยแล้ว รายได้ทั้งหมดของรัชกาลที่ ๔ ตามที่สังฆราชปั ลเลอกัวซ์จดไว้ว่ามีปี หนึ่งเฉลี่ยราว ๒๖,๙๖๔,๑๐๐ บาท ในจำนวนนี้เป็นเงินค่าแรงแทนเกณฑ์และค่าผูกปี้ เสียถึง ๑๔ ล้านบาท (โดยไม่นับส่วยอื่นๆ) คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วรายได้จากการเก็บเงินกินเปล่าตกราว ๕๖% ของรายได้ทั้งหมด!

--ต่อมาประชาชนทนการขูดรีดไม่ไหวก็หาทางเลี่ยงภาษีอากรโดยอ้างว่าที่ตรงนี้ตนเพิ่งเริ่มก่นสร้างได้ปี หนึ่งสองปี กฏหมายว่ายกอากรให้แก่ผู้เริ่มก่นสร้าง (“เบ็ดเสร็จ” ครั้งเริ่มสร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา ) ข้าหลวงไปเก็บอากรค่านาที่ใดก็ต้องพบแต่ข้ออ้างเช่นนี้ ต้องถกเถียงกันเก็บอากรไม่ได้ กษัตริย์ต่อมาคือพระบรมราชาธิราชที่ ๒ จึงออกพระราชกำาหนดเมื่อปี พ.ศ. ๑๗๙๖ บังคับให้ผู้หักร้างนาใหม่มาแจ้งข้าหลวงเอาโฉนดบอกจำานวนที่ดิน และอากรไปถือไว้ ใครไม่มีโฉนดจะต้องข้อหาหลบหนีบดบังอากร มีโทษหนักกล่าวคือ :
“ท่านให้ลงโทษ ๖ สถาน ถ้าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ บ่ให้ฆ่าตีเสีย ให้เอาอากรซึ่งบังไว้แขวนคอประจานสามวันแล้วไหมจตุรคูณ (ปรับสี่เท่าเงินอากร)” (อาญาหลวงบท ๔๗) ที่ว่าให้ลงโทษ ๖ สถานนั้นมีต่างๆ กันคือ : ฟันคอ ริบเรือน, จำาใส่ตรุไว้ริบราชบาตรแล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง (คือให้ตัดหญ้าให้ช้างหลวงกิน ซึ่งเป็นงานชั้นต่ำสุดเพราะถูกหญ้าบาด งูกัด เหม็นขี้เยี่ยวช้าง ฯลฯ), ทวนด้วยลวดหนัง ๕๐ ที, จำไว้เดือนหนึ่ง แล้วเอาตัวถอดลงเป็นไพร่, ไหมจตุรคูณ (ปรับสี่เท่า), และไหมทวีคูณ (ปรับสองเท่า) ใน ๖ สถานนี้ ในหลวงจะเลือกลงโทษสถานใดก็ได้ (อาญาหลวง ๒๗)

--ด้วยเหตุนี้ โทษฟันคอริบเรือนหรือริบราชบาตรจึงเป็นโทษที่นิยมใช้อยู่ทั่วไป เฉพาะในกฏหมายอาญาหลวงแล้วดูเหมือนเกือบจะทุกมาตราและในบางมาตราก็วางโทษเอาไว้น่าขำ เช่น “มาตราหนึ่ง ผู้ใดใจโลภนักมักทำใจโหญ่ใฝ่สูงให้เกินศักดิ์กระทำให้ล้นพ้นล้ำาเหลือบรรดาศักดิ์อันท่านให้แก่ตน แลมิจำพระราชนิยมพระเจ้าอยู่หัว (คือไม่ระวังว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงชอบอย่างไหน) และถ้อยคำมิควรเจรจาเอามาเจรจาเข้าในระหว่างราชาศัพท์ (คือใช้คำราชาศัพท์ผิดเอาคำไพร่มาใช้ปน) แลสิ่งของมิควรประดับเอามาทำเป็นเครื่องประดับตน (ตีเสมอเจ้า!) ท่านว่าผู้นั้นทะนงองอาจ ท่านให้ลงโทษ ๘ สถาน สถานหนึ่งให้ฟันคอริบเรือน ๑ สถานหนึ่งให้เอามะพร้าวห้าวยัดปาก ๑ สถานหนึ่งให้ริบราชบาตร แล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง ๑ สถานหนึ่งให้ไหม (ปรับ) จตุรคูณแล้วเอาตัวออกจากราชการ ๑ สถานหนึ่งให้ไหมทวีคูณ ๑ สถานหนึ่งให้ทวนด้วยลวดหนัง ๕๐ ที ๒๕ ที ใส่ตรุไว้ ๑ สถานหนึ่งให้จำไว้แล้วถอดเสียเป็นไพร่ ๑ สถานหนึ่งให้ภาคทัณฑ์ไว้ ๑ รวม ๘ ฯ” (อาญาหลวง พ.ศ. ๑๘๙๕, รัชกาลที่ ๑ ชำาระมาตรา ๑)

--ค่าธรรมเนียมที่มีพิสดารและมากมายเช่นนี้ เนื่องมาจากชนชั้นปกครองของศักดินาทั้งมวลในสมัยก่อนรัชกาลที่ ๕ ขึ้นไปมิได้มีเงินเดือน กษัตริย์เก็บภาษีอากรทั้งปวงเข้าพระคลังมหาสมบัติและแบ่งปันไปยังคลังของวังหน้าบ้าง ไปยังเจ้านายที่มีอิทธิพลมากๆ บ้าง แล้วก็เก็บเงียบ พวกข้าราชการทั้งหลายต้องออกหากินโดยเรียกค่าธรรมเนียมเอาจากประชาชน ไม่มีเงินเดือน ใครมีเล่ห์เหลี่ยมดี ล่อหลอกหรือใช้อำนาจบังคับเรียกค่าธรรมเนียมได้มากก็ได้ผลประโยชน์ใช้มาก ได้กินข้าวร้อนนอนสายมีเมียสาวหลายๆคน ซึ่งลักษณะการปล่อยให้ขุนนางเที่ยวเก็บค่าธรรมเนียมกินนี้ ได้กลายมาเป็นการทุจริตในหน้าที่ขึ้นอย่างมหาศาล แต่เป็นการทุจริตที่ประชาชนรู้ไม่เท่าทัน และที่ทุกคนก็ทำเหมือนกันหมดจนกลายเป็นของถูกกฏหมายไปในที่สุด และยิ่งไปกว่านั้น พวกขุนนางที่เข้ารับตำแหน่งต่างๆ ก็มักจะทำงานเร็วหรือช้า ดีหรือเลวโดยขึ้นอยู่กับช่องทางที่จะเรียกค่าธรรมเนียม ถ้าจะเรียกอย่างปัจจุบัน ก็คือค่าน้ำร้อนน้ำชา! เช่น ขุนนางในแผนกตุลาการ คือพวกลูกขุน ก็มักจะใช้อุบายถ่วงความไว้ร้อยสีร้อยอย่าง ถ้าไม่มีค่าธรรมเนียม เรื่องก็ไม่เดิน “อธิบดีผู้ซึ่งบังคับการในกระทรวงนั้นๆ เล่า ก็ไม่ใคร่มีใครเป็นธุระใส่ใจที่จะให้ถ้อยความในกรมเบาบางไป ด้วยไม่เป็นประโยชน์อันใดคุ้มค่าเหนื่อย สู้นั่งว่าภาษีอากรไม่ได้”๑๐๘ อีกอย่างหนึ่งกรมนี้มีผลประโยชน์น้อยกว่ากรมอื่นๆ “คนดีๆ จึงไม่ใคร่จะมี มีแต่คนที่หาผลประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้แล้วจึงหันมาหาผลประโยชน์ในทางนี้”

--เมื่อชีวิตขึ้นอยู่กับน้ำาฝนก็ทำาให้เกิดมีประเพณีการแห่นางแมวขอฟ้าขอฝนขึ้นในหมู่พวกไพร่ที่ทำนาทั่วไป ทางฝ่ายกษัตริย์นั้นมีหน้าที่เพียงมาตรวจดูว่าไพร่ทำนาได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ก็เหมาเอาว่าขี้เกียจ ริบนาคืนไป การช่วยเหลือชาวนาของพวกศักดินาอย่างมากก็เพียงชักชวนให้ทำาพิธีขอฝน กษัตริย์จะแสดงพระมหากรุณาธิคุณโดยส่งพระพุทธรูปปางขอฝนเรียกว่าพระคันธาราษฏร์ ออกไปตามหัวเมืองต่างๆ สำาหรับนำออกมาทำพิธีขอฝน เรียกว่า พิธีพิรุณศาสตร์ ถ้าปีฝนแล้งทำานาไม่ได้ ก็มักจะโทษเอาว่าเป็นเพราะประชาชนไม่ทำพิธีพิรุณศาสตร์กันอย่างทั่วถึง พระเจ้าเลยไม่โปรด ไม่ใช่ความผิดของกษัตริย์ที่ไม่เอาใจใส่ทำาการทดน้ำ ขุดคลองทำชลประทาน ประชาชนเลยหลงไปฝากชีวิตไว้กับเทวดาฟ้าดิน เมื่อฝนไม่ตกก็เท่ากับฟ้าดินไม่โปรดเป็นเพราะวาสนาตัวไม่ดีเอง โทษใครไม่ได้!

--การขูดรีด หรือนัยหนึ่งการแสวงหาผลประโยชน์ของศักดินาโดยการยึดถือกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตไว้แต่ผู้เดียวตามที่กล่าวมาแล้ว คือในด้านภาษีอากรทั้งมวลนี้ อาจมีความฉงนฉงายกันอยู่บ้างว่าในทุกรัฐ แม้ในรัฐสังคมนิยม ก็ย่อมมีภาษีอากรด้วยกันทั้งสิ้น ทำไมจึงจะมาระบุเอาว่าภาษีอากรของศักดินา เป็นการขูดรีด ความสงสัยข้อนี้อาจจะขจัดให้หายไปได้ โดยคำานึงถึงปัญหาขั้นพื้นฐานว่าใครเป็นผู้ถือกรรมสิทธ์ิในปัจจัยแห่งการผลิต ในระบบศักดินานี้ชนชั้นศักดินาเป็นผู้ถือกรรมสิทธ์ิในปั จจัยแห่งการผลิตกล่าวคือที่ดิน เมื่อได้ถือกรรมสิทธ์ิไว้แล้วก็มีอิทธิพลพอที่จะเสวยอำนาจทางการเมือง เรียกเก็บภาษีที่ดินเอาตามความพอใจ ภาษีที่ดินเป็ นหมวดภาษีใหญ่ที่รวมเอาภาษีค่านา, ภาษีสวน, ภาษีสมพัตสร, ภาษีนาเกลือ, ภาษีโรงเรือนร้าน (อากรตลาด) และภาษีเบ็ดเตล็ดอื่นๆ เข้าไว้ด้วยอีกมาก, ถัดจากภาษีที่ดินก็ได้แก่ส่วยหรือรัชชูปการซึ่งเป็นการเรียกเก็บกินเปล่าโดยชนช้นั ศักดินา นอกจากนั้น ก็จัดเป็นพวกภาษีเบ็ดเตล็ดเป็นต้นว่า ภาษีสุรา, อากรค่าน้ำ ฯลฯ เมื่อชนชั้นศักดินาเป็นผู้เก็บภาษีทั้งมวลเช่นนี้ เงินที่ได้ก็ย่อมตกไปเป็นสิ่งบำารุงบำาเรอชนชั้นศักดินา ปล่อยให้ประชาชนเสวยเคราะห์กรรมไปตามเพลง เมื่อเป็นเช่นนี้การเก็บภาษีอากรของศักดินาจึงเป็ นการขูดรีดอันมโหฬารอย่างสำาคัญ (โดยเฉพาะที่ดิน) ภาษีในสังคมทุนนิยมก็เป็นการขูดรีดของชนชั้นนายทุนเช่นกัน มีเพียงภาษีในสังคมระบบสังคมนิยมที่ประชาชนผู้ถือกรรมสิทธ์ในปัจจัยแห่งการผลิตร่วมกันเท่านั้นที่มิได้เป็นการขูดรีด ทั้งนี้เมื่อประชาชนถือกรรมสิทธ์ิในปัจจัยแห่งการผลิตร่วมกัน เขาย่อมถืออำานาจทางการเมืองร่วมกันด้วย และแน่นอนภาษีอากรต่างๆ ย่อมเป็นสิ่งที่บำารุงความสุขสบายและสภาพชีวิตอันสมบูรณ์ของพวกเขาทั้งมวล!...§


No comments:

Post a Comment